14 ธันวาคม 2553

วัยรุ่นกับการยับยั้งชั่งใจ

ข่าววัยรุ่นทำแท้ง กำลังเป็นกระแสดัง ในสังคมบ้านเราตอนนี้ เหตุเพราะการรักสนุกแล้วไม่รู้จักป้องกัน ทำให้เกิดปัญหาการท้องไม่พึงประสงค์ตามมา


วัยรุ่นรู้จักรักแค่ไหน เมื่อเขาขอ...จะปฏิเสธอย่างไร..


หนุ่มสาววัยรุ่นมีเรื่องความรักเป็นเรื่องใหญ่ แต่จริงๆ แล้ววัยรุ่นรู้จักเรื่องรักแน่หรือ
บางคนอาจจะบอกว่าความรักคือความผูกพัน ความรักคือการเสียสละ คือการให้อภัย แต่ผมชอบความหมายคำว่ารักจากหนังสือ "จิตวิทยาแห่งรัก" มากที่สุด ที่บอกว่า ความรักคือความรู้สึกชื่มชมยินดีอย่างยิ่งจนบังเกิดความปรารถนาขึ้น มี key word อยู่ 2 คำ คือ 'ชื่นชมยินดี' กับ 'เกิดความปรารถนา' เพราะฉะนั้นความรักจึงหมายถึง ชื่นชมยินดีกับใครคนใดคนหนึ่งจนเกิดความปรารถนา

เราแยกความปรารถนาออกเป็น 2 อย่าง คือ ปรารถนาที่จะให้ กับปรารถนาที่จะรับ ถ้าปรารถนาที่จะให้ คือ รักและผูกพัน ปรองดอง ห่วงใย คิดถึง เห็นใจ เข้าใจ เอื้ออาทร เสียสละ และให้อภัย... นี่คือรักแท้ คือคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง รักแบบนี้ทางพุทธเรียกว่า เมตตา ทางคริสต์ อิสลาม เขาจะบอกว่า"พระเจ้าสอนให้มีความรัก"

ต้องใจ ติดใจ วัยรุ่นเรียกว่า 'ปิ๊ง' หลงเสน่ห์ คิดถึง คลั่งไคล้ โหยหา... เป็นรักเทียม ซึ่งแท้จริงคือราคะในรูปของความรัก ราคะก็คือฮอร์โมนเพศนั่นเอง อยากให้คนอื่นมาตอบสนองความต้องการของตัวเอง ถ้าไม่ได้ดังปรารถนาก็แปรรูปเป็นโกรธและหงุดหงิด

แล้วความรักมี 4 ระดับด้วยกัน คือ ราคะ(lust) รักใคร่ฉันหนุ่มสาว(eros) ปรารถนาดี(well wish) รักแบบอุทิศตัว (devoted love) อาจจะจำว่า

ระดับ 1 รักใคร่ใฝ่กามา

ระดับ 2 รักหวังวิวาห์มาคู่กัน

ระดับ 3 รักปันแบ่งความสุข

ระดับ 4 รักยอมทุกข์เพื่อสุขของเธอ

ความรักของพ่อแม่เปรียบได้กับความรักระดับ 4 ส่วนความรักของหนุ่มสาวอยู่ในระดับ 1 และอาจพัฒนาไประดับ 2 ซึ่งที่จริงแล้วหนุ่มสาวควรพัฒนาความรักเป็นระดับ 3 และ 4 ทำให้คนรักมีความสุข หลีกเลี่ยงไม่ทำให้เขาเป็นทุกข์

สำหรับวัยรุ่นผู้หญิงอาจเช็กดูได้ว่า ความรักของคนที่มาจีบเราเป็นแบบไหน ถ้ารักกันแล้วอยากจะมีเซ็กซ์ให้ได้ ก็คือความรักในระดับ 1 ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ท่ามกลางเด็กวัยรุ่นผู้ชายในวัยที่มีความต้องการทางเพศสูง วัยรุ่นผู้หญิงอาจจะเจอภัยทางเพศที่ไม่คาดคิด

มีการวิจัยพบว่า เซ็กซ์ครั้งแรกของหนุ่มสาวไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่ได้คาดคิด เกิดขึ้นเพราะว่าอยู่ในที่สองต่อสอง อยู่ในที่ลับตา แล้วบรรยากาศพาไป เพราะฉะนั้นกฎข้อที่ 1 ผู้หญิงอย่าเปิดโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับแฟนหรือผู้ชายคนไหนก็ตาม ให้พาเพื่อนไปเยอะๆ หรือไปในที่คนเยอะๆ

แล้วอย่าคิดเอาเองว่าผู้ชายดีๆ ไม่คิดไม่ดีนะครับ นอกเสียจากว่าผู้ชายคนนั้นจะเติบโตมีวุฒิภาวะ หรือความสามารถของสมองส่วนคิดทำงานควบคุมเหนือสมองส่วนหยาบ มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ความต้องการของตัวเอง มีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ แต่โดยทั่วไปวัยรุ่นเป็นวัยที่สมองส่วนหยาบทำงานมากกว่าสมองส่วนคิด เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเปิดโอกาสให้ผู้ชายทำตามความต้องการของตัวเอง

(การเปิดโอกาสยังรวมถึงการให้เบอร์โทรศัพท์ การรับนัดหมายด้วย)

กฎข้อ 2 อย่าแต่งตัวโป๊ ล่อแหลม เพราะผู้ชายตื่นตัวทางเพศง่าย ผู้หญิงอาจไม่คิดอะไร แต่ผู้ชายมีฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะในวัยรุ่นที่มีฮอร์โมนเพศสูง แล้วถ้าผู้ชายเกิดอารมณ์เซ็กซ์แล้วไม่มีทางระบายจะกลายเป็นความก้าวร้าว อาจจะบังคับขืนใจผู้หญิงโดยไม่ทันยั้งคิด

กฎข้อ 3 อย่าเปิดไฟเขียว ต้องรู้จักปฏิเสธ ต้องรู้จักพูดคำว่า ไม่! อย่า! หยุด!

พบบ่อยว่า หลายครั้งเด็กผู้หญิงไม่ได้อยากมีเซ็กซ์กับแฟน แต่เป็นเพราะปฏิเสธไม่เป็น เด็กผู้หญิงเล่าว่า "เขาไม่เชื่อใจค่ะ เขาขอมีเซ็กซ์ด้วย แต่เราไม่ให้เขา ก็เลยหาว่าเราเก็บไว้ให้คนอื่น"

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายทั่วโลกจะมีประโยคทำนองว่า "ถ้าเธอรักฉันจริง เธอต้องยอมเป็นของฉันนะ ถ้าเธอไม่ยอม แสดงว่าเธอรักฉันไม่จริง ถ้าอย่างนี้ ฉันจะไปมีแฟนใหม่" ซึ่งผู้หญิงก็ต้องตั้งสติคิดให้ได้ว่า ถ้าเขาไม่ยอมรับคำปฏิเสธของเราก็แสดงว่าเขาไม่รักเราจริงเหมือนกัน เพราะ เขากำลังจะใช้ร่างกายของเราเป็นที่ระบายความใคร่ของเขา

มีวิธีที่ผู้หญิงปฏิเสธผู้ชายหลายแบบด้วยกัน เช่นบางคนอาจจะปฏิเสธแบบ 'จะไม่ยอมเสียตัว และไม่กลัวเสียแฟน' โดยบอกอย่างเด็ดขาดว่า "อย่ามายุ่งกับฉัน ฝันไปเถอะ ถ้าทำ เลิกกัน ฉันจะแจ้งความด้วย" หรือ "คุณเป็นคนเห็นแก่ตัว คบไม่ได้ ฉันไม่อยากเสียตัวให้เธอ" ถ้าผู้ชายยังตื๊อต่อ ก็ลุกเดินหนี

แต่ที่เป็นปัญหาคือผู้หญิงบางคนตอบอย่างกลัวๆ กล้าๆ ลังเลใจ ไม่แน่ใจ เช่น

"เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นหรอก" ผู้ชายจะบอกว่า "ไม่มีใครเห็นหรอก มีแค่เราสองคน"

หรือผู้หญิงบอกว่า "เกิดคนอื่นรู้ ฉันก็เสียหายสิ" ผู้ชายก็จะตอบว่า "ถ้าเธอไม่บอกคนอื่น ฉันก็ไม่บอกใคร ก็ไม่มีใครรู้หรอก"

"เอาไว้วันหลังเถอะ" ูผุ้ชายจะบอกว่า"วันนี้แหละดีที่สุดแล้ว วันอื่นเราจะไม่ได้เจอกันแล้ว"

"ไม่ได้หรอกกำลังมีเมนส์" "ผู้ชายจะบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก ไม่รังเกียจ มีเมนส์ก็มีเซ็กซ์ได้ ดีซะอีก หน้า7 หลัง 7 ไม่ตั้งท้อง"

"เธอตรวจเอดส์หรือยัง" ผู้ชาย... "ตรวจแล้ว ผลเป็นลบ สบายใจได้"

"อุ๊ย เดี๋ยวท้อง" ผู้ชาย.. "ไม่ท้องหรอก เตรียมถุงยางมาแล้ว"

มีการปฏิเสธที่ดีที่สุด คือ ปฏิเสธชัดเจน ผู้ชายไม่มีข้ออ้าง และก็ไม่เสียความสัมพันธ์ด้วย เช่น

"ถ้ารักฉันจริง อย่าบังคับใจฉัน ฉันไม่อยากให้เธอทำอย่างนี้"

"ไม่ดีหรอก ยังไม่ถึงเวลา ถ้ารักฉันจริงเธอต้องรอได้"

"เธอเป็นผู้ชายที่ฉันรัก แต่ฉันพร้อมก็ต่อเมื่อเราแต่งงานแล้วเท่านั้น"

"ฉันทำไม่ได้หรอก ถ้าทำอย่างนั้นฉันรู้สึกหมดศรัทธาต่อตัวเอง"

"พ่อแม่ฉันยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้"

การปฏิเสธเช่นนี้ยังเป็นการพิสูจน์ด้วยว่าผู้ชายคนนั้นมีวุฒิภาวะหรือเปล่า ถ้าเขารอได้หรือโอนอ่อนตามใจเรา ก็แสดงว่าเขามีวุฒิภาวะ เป็นคนที่เราน่าจะแต่งงานด้วยได้ครับ



ขอบคุณที่มา:http://www.momypedia.com/

8 ธันวาคม 2553

โภชนาการคุณแม่ตั้งครรภ์

ตั้งท้อง


โภชนาการคุณแม่ตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรรภ์การได้รับอาหารเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีคุณค่า ที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ เพื่อให้ลูกน้อยในครรภ์ได้มีพัฒนาการที่ดี แข็งแรงสมบรูณ์ตามอายุครรภ์

คุณแม่มือใหม่คงมีความกังวลใจไม่น้อยกับการดูแลตัวเอง และห่วงใยสุขภาพของลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ นอกจากสุขภาพแล้วเรื่องอาหารการกินก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก กินอย่างไรที่คุณแม่และลูกน้อยจะได้รับประโยชน์

การดูแลตัวเองเรื่องอาหารนั้นคุณแม่ต้องเริ่มต้นเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่การเป็นเด็กหญิง วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการที่ดี ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นคุณแม่อย่างสมบูรณ์

เมื่อเข้าสู่ภาวะการตั้งครรภ์ การกินอาหารในช่วงนี้จะมีผลต่อลูกน้อยในครรภ์ คุณแม่จะต้องเพิ่มปริมาณพลังงานที่ได้รับจากอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 300 กิโลแคอรี กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และหลากหลาย

สารอาหารที่ควรได้รับ ได้แก่
1. โปรตีน ซึ่งมีมากในนม และเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อหมู ไข่ ถั่วเหลือง คุณแม่ควรบริโภคคนให้มาก เพราะนอกจากได้โปรตีนแล้วยังได้แคลเซียมเพื่อช่วยในการสร้างกระดูกให้แก่ลูก

2. คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ข้าว แป้ง ควรบริโภคแต่พอประมาณ “ลด” หรือ “งด” การบริโภคน้ำตาลและขนมหวาน

3. วิตามิน มีมากในผักและผลไม้

4. แร่ธาตุต่างๆ ธาตุเหล็กซึ่งพบมากในอาหารประเภทตับ ไข่แดง ผักขม ผักตำลึง จะช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงมีมากพอที่จะลำเลียงออกซิเจนจากเลือดของแม่ไปยังลูกได้ดี นอกจากนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ยังควรรับประทานอาหารทะเลเพื่อให้ได้ไอโอดีน สัปดาห์ละครั้ง แคลเซียม มีมากในนม ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว จำเป็นในการสร้างกระดูกและฟันของทารก โฟเลทจะป้องกันความผิดปกติของหลอดประสาท (Neural tube defect) เกี่ยวข้องกับการเจริญและพัฒนาระบบประสาทและสมอง มีมากในพืชผักใบเขียว ถั่ว ฟอสฟอรัสมีอยู่ในอาหารทั่วไป มีบทบาทในการสร้างกระดูกและฟัน สังกะสีมีความสำคัญในการเจริญและพัฒนาการของทารก พบมากในข้าวซ้อมมือ ถั่ว ผักใบเขียว เต้าหู้

5. สำหรับไขมันนั้น ไม่ควรรับประทานมากเพราะจะทำให้คุณแม่ท้องอืด แน่น อึดอัด และยังเป็นตัวการในการเพิ่มน้ำหนักตัวของคุณแม่ ควรเลือกบริโภคไขมันจากพืช และเลือกรับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยวิธีต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนการทอด


**กลุ่มอาหารที่คุณแม่ควรงด

ได้แก่ ผงชูรส ชา กาแฟ เครื่องดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะเมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางสายสะดือไปสู่ทารก แอลกอฮอล์จะไปกดการเจริญของทารก มีผลต่อสมอง และเกิดความผิดปกติหรือพิการในทารกได้

น้ำหนักของคุณแม่ตั้งครรภ์

ตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์น้ำหนักของคุณแม่ที่เพิ่มขึ้นควรเพิ่มประมาณ 11.5-16 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักตัวขึ้นมากกว่า 20 กิโลกรัม คุณแม่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ครรภ์เป็นพิษ เด็กจะตัวโตและจะคลอดยาก น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ที่แม่ และส่งผลให้ให้ช่วงหลังคลอดคุณแม่จะลดน้ำหนักลงได้ช้า

หลังคลอดแล้ว คุณแม่ควรทานอะไร

แนวทางการบริโภคอาหารก็ยังคงเหมือนกับในช่วงตั้งครรภ์ แต่คุณแม่จะมีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนตั้งครรภ์อีกวันละ 500 กิโลแคลอรี ทั้งนี้เพื่อนำไปสร้างน้ำนม ปริมาณอาหารที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นอาจจะจัดเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อ เช่น สลัดผัก และผลไม้ เป็นต้น สำหรับปริมาณนมที่บริโภคต่อวันนั้นคุณแม่สามารถดื่มได้ตั้งแต่ 2-4 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่คุณแม่ต้องเสียไปในรูปของน้ำนมที่ให้กับลูก

นอกจากอาหารแล้วนั้น คุณแม่ควรดูแลตัวเองในด้านสุขภาพกายและใจ โดยพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม พบคุณหมอตามนัดหมาย ก็น่าจะช่วยลดความกังวลใจให้กับคุณแม่ได้บ้าง


ที่มาhttp://www.elib-online.com/doctors52/lady_preg009.html

16 พฤศจิกายน 2553

คุณแม่ไม่สบาย ขณะตั้งครรภ์

ตั้งครรภ์


เวลาตั้งท้องคุณแม่ มือใหม่หรือมือเก่าทั้งหลายก็จะกังวล ว่าเวลาตัวเองไม่สบาย กินยาอะไรเข้าไปจะส่งผลถึงลูกน้อยในครรภ์หรือเปล่า วันนี้มีบทความดีๆเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเวลาคุณแม่ไม่สบายขณะตั้งครรภ์

อาการเจ็บไข้ไม่สบายบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอหรือกินยาเสมอไปหรอก คุณแม่สามารถดูแลรักษาตัวเองได้

* ไข้หวัด
พบได้บ่อยมาก เป็นกันเกือบทุกคนแหละครับ ส่วนใหญ่ก็มีอาการไข้ ปวดศีรษะมีน้ำมูก ไอ หรืออาจมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย ถ้าเป็นไม่รุนแรงมักหายได้เองถ้าดูแลรักษาตัวอย่างถูกวิธี ก็โดยการพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น แค่นี้ก็เพียงพอครับ นอกจากนั้นก็อาจใช้ยาช่วยรักษาตามอาการด้วยก็ได้
สำหรับอาการไข้หรือปวดศีรษะ สามารถใช้ยาพาราเซตามอลแก้ปวด ลดไข้ได้เพราะปลอดภัย โดยรับประทานครั้งละ 2 เม็ดทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ารู้สึกว่ามีไข้ ควรวัดอุณหภูมิสักหน่อยก็ดี ถ้าไข้ไม่สูงก็ลองรับประทานยาไปก่อนได้ แต่ถ้าไข้สูงเกิน 37.80 C ควรปรึกษาแพทย์ เรื่องของยาแก้หวัดลดน้ำมูกนั้น ที่ใช้กันทั่วไปก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย ส่วนยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบที่ เรียกๆ กันนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกราย จะใช้ก็ในกรณีที่คออักเสบหรือทอนซิลอักเสบร่วมด้วย ส่วนใหญ่ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาไข้หวัดนั้นก็ปลอดภัย แต่ไม่แนะนำให้ไปซื้อมารับประทานเอง ควรให้แพทย์สั่งให้จะดีกว่า

* ท้องผูก
นี่ก็ เป็นปัญหาที่พบในแม่ตั้งครรภ์เกือบทุกคน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติครับ การดูแลรักษาตัวเองทำได้โดยพยายามรับประทานผัก ผลไม้มากๆ เพื่อเพิ่มกากอาหาร นอกจากนั้นควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อไม่ให้อุจจาระแข็งเกินไป จะช่วยให้ถ่ายสะดวกขึ้น ในกรณีที่เป็นมากจริงๆ ก็คงต้องพึ่งยาระบายครับ แต่ควรเป็นยาระบายชนิดที่ช่วยเพิ่มกากอาหาร หรือชนิดที่ทำให้อุจจาระอ่อนจะดีกว่าชนิดที่กระตุ้นการทำงานของลำไส้ครับ

* ท้องอืด

อาหารไม่ย่อย หรือโรคกระเพาะอาหาร
พบได้ บ่อยพอสมควรในคนท้อง เนื่องจากระบบการย่อยอาหารทำงานเปลี่ยนไปคุณแม่ที่มีอาการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้วต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดี ครับ โดยพยายามรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย และควรเปลี่ยนวิธีรับประทานอาหาร โดยรับประทานทีละไม่มาก และบ่อยๆ แทนที่จะรับประทานเป็นมื้อใหญ่ๆ (ทีละน้อยแต่ทั้งวันว่างั้นเถอะ) แต่ถ้ามีอาการมากอาจใช้ยาเคลือบกระเพาะ ลดกรดช่วยได้ ซึ่งปลอดภัยครับ

* ท้องเสีย
พบได้ไม่ บ่อยนัก และส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงครับ ถ้าเพียงถ่ายเหลวไม่กี่ครั้งก็คงไม่มีอันตรายต่อทั้งคุณแม่และลูก เพียงแค่ดื่มน้ำมากๆ หรือดื่มน้ำผสมผงเกลือแร่ก็ได้ อาการก็มักจะหายไปเอง แต่ถ้าถ่ายเหลวและมีมูกหรือเลือดปนออกมาด้วย ควรไปพบแพทย์ครับ

อาการ เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับระบบใดระบบหนึ่งของร่างกาย จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อลูกในท้อง เช่น ท้องผูกก็ส่งผลแค่กับระบบขับถ่าย ไม่ส่งผลกับลูก แต่ที่ต้องระวังคือยาที่ใช้ ผิดกับโรคที่เกิดขึ้นกับร่างกายทั้งระบบ เช่น เบาหวาน ซึ่งส่งผลทั้งกับแม่และลูก และการรักษาก็ต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งยาที่ใช้ด้วย

ใช้ยาตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด
ในกรณี ที่แพทย์สั่งยาให้คุณแม่ไปรับประทาน โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ก็ควรรับประทานให้ตรงตามแพทย์สั่งจนหมด เพื่อให้อาการหายขาดและป้องกันการดื้อยาด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่เคยพบนั้น คุณแม่จะกลัวมาก จึงหยุดรับประทานยาเมื่ออาการดีขึ้น ผลก็คืออาการไม่หายขาดและกลับเป็นซ้ำขึ้นมาอีก ซึ่งบางรายอาจต้องใช้ยาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ อีกกรณีหนึ่งก็คือคุณแม่กลัวจะไม่หาย แม้กระทั่งยาหมดแล้วก็อุตส่าห์ไปหาซื้อยามารับประทานเพิ่มอีก อย่างนี้ก็ได้รับยาโดยไม่จำเป็นครับ


***สรุปว่า ถ้าไม่สบายระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ต้องกังวลให้มาก ปฏิบัติตัวตามที่แนะนำ



ขอบคุณที่มา http://www.momypedia.com/knowledge/pregnancy/

17 สิงหาคม 2553

การเลือกเพศให้ลูกน้อย

การเลือกเพศให้ลูกน้อย ว่าอยากได้ลูกชายหรือลูกสาว

การกำหนดเพศของลูกว่าคนโตขอให้เป็นผู้ชายโตขึ้นจะได้ดูแลน้อง คนต่อมาขอให้เป็นผู้หญิง เป็นน้องสาว แลดูน่ารัก หรือเหตุผลอื่นๆ แล้วแต่ครอบครัว สมัยก่อน มีหลายคนใช้วิธีบนบานกับสิ่งศักดิ์ลทธิ์ ขอให้ได้มีลูก สาว หรือลูกชาย บางคู่มีลูกชายทั้งหมด เลยขอเจ้าพ่อให้ได้ลูกผู้สาว บ้าง บางคู่มีลูกผู้หญิงทั้งหมด แต่อยากได้ลูกชาย

ปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น วิธีการทำให้มีลูกได้ง่ายขึ้น มีวีธีการเลือกเพศให้ลูกน้อยได้ หลายทาง แต่วิธีที่ไม่ยุ่งยากและได้ผลดีคือ การเลือกอสุจิที่จะไปปฏิสนธิกับไข่ ตัวอสุจิจะแบ่งออกเป็นเพศหญิง และเพศชาย เมื่อเปรียบเทียบขนาดกันแล้วจะพบว่าตัวอสุจิ ที่มีเพศหญิงมีขนาดใหญ่ หัวโตกว่า ว่ายได้ช้ากว่าและมีจำนวนน้อยกว่า แต่จะมีอายุยืนกว่าตัวอสุจิที่มีเพศชาย สำหรับตัวอสุจิเพศหญิงนั้น ทนกรดได้ดีกว่าตัวอสุจิเพศชาย ขนาดจริง ซึ่งปกติบริเวณช่องคลอดจะเป็นกรด ตัวอสุจิทั้งสองเพศจะผสมกับไข่ได้ดีในสภาวะที่เป็นด่าง ซึ่งพบได้บริเวณท่อนำไข่

รังไข่


ดังนั้นเราต้องอาศัยคุณสมบัติเหล่านี้ในการเลือกเพศให้ลูกได้ โดยใช้วิธีการปฏิบัติตัวใน
การร่วมเพศดังนี้

ถ้าอยากได้ลูกชาย
ควรปฏิบัติตัวดังนี้



1. เลือกวันมีเพศสัมพันธ์ใกล้ระยะไข่สุกให้มากทีสุดและมีติดต่อกัน 2-3 วันติดกัน ระยะไข่สุกจะวัดอุณหภูมิของกายได้ 37 องศาเซลเซียส
2. ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ควรล้างช่องคลอดด้วยโซดาไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำครึ่งลิตร เพื่อปรับสภาพให้ช่องคลอดมีสภาพเป็น ด่าง เพื่อรักษาตัวอสุจิเพศชายที่ไม่ค่อยทนกรด
3. การสอดอวัยวะเพศเวลาหลั่งน้ำอสุจิ ต้องให้อสุจิอยู่ลึกใกล้กับ ปากมดลูกซึ่งมีสภาพเป็นด่างตามธรรมชาติ ตัวอสุจิเพศชายที่ตัวเล็ก ว่ายเร็วจะไปเจอไข่ได้ก่อนตัวอสุจิเพศหญิง
4. ภรรยาควรมีความรู้สึกกสุดยอดให้มีการหลั่งเมือกที่เป็นด่าง ออกมาเหมาะกับอสุจิเพศชาย

ถ้าอยากได้ลูกสาว
ควรปฏิบัติตัวดังนี้


1. เลือกวันมีีเพศสัมพันธ์ ตั้งแต่ประจำเดือนหมดจนถึง 3 วัน ก่อนไข่สุก แล้วงดการมีเพศสัมพันธ์ไปจนถึงต้นเดือน เนื่องจากอสุจิเพศหญิง จะมี อายุนานกว่าอสุจิเพศชาย เมื่อไข่สุกและตกออกมา จึงเหลือเพียงอสุจิเพศหญิงเท่านั้นที่ผสมกับไข่


ก่อนการมีีเพศสัมพันธ์ ควรสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำครึ่งลิตร เพื่อให้ช่องคลอดมีสภาพเป็นกรดยิ่งขึ้นเหมาะกับตัวอสุจิเพศหญิง


3. การสอดอวัยวะเพศเวลาหลั่งน้ำอสุจิ ควรหลั่งบริเวณช่องคลอดที่มีสภาพเป็นกรดดีกว่า คืออยู่ห่างจากมดลูก


4. ภรรยาควรระงับความรู้สึกสุดยอดไม่ให้มีการหลั่งเมือกที่เป็นด่างออกมา

การปฏิบัติตัวเพียงเท่านี้ ก็สามารถเพิ่มโอกาสในการเลือกเพศให้ลูกตามที่เราต้องการได้แล้ว ว่าเราอยากได้ลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย

4 สิงหาคม 2553

จะท้องมั๊ย

จะท้องมั๊ย.. เป็นคำของวัยรุ่นไทยหลายๆคน ต้องการคำตอบ วันนี้เอาข้อมูลเกี่ยวกับการต้องท้อง มาฝากให้อ่านกันเป็นความรู้

ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน แล้วสงสัยว่าจะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์หรือไม่ ก็คงต้องเข้าใจกลไกการตั้งครรภ์ก่อน ซึ่งสรุปได้ดังนี้

1. การตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีตัวอสุจิผสมกับไข่
2. ไข่ของผู้หญิงจะสุกเดือนละครั้ง และมีอายุประมาณ 24 ชั่วโมง
3. เชื้ออสุจิเมื่อมาอยู่ในตัวผู้หญิงแล้ว มีคุณสมบัติที่จะผสมได้ 48 ชั่วโมง
4. เมื่อไข่ของหญิงสุกแล้วถ้าไม่มีการปฏิสนธิ อีก14 วันต่อมาก็จะมีรอบเดือน
5. การตกไข่อาจมีการคลาดเคลื่อนจากวันที่คำนวณ บวกลบ 2วัน (แปลว่าอาจมีก่อน 2 วัน หรือหลัง 2 วัน )
รอบเดือน
โดยปกติหญิงจะมีรอบเดือนรอบละ 4 สัปดาห์ นั่นคือ 28 วันจะมาหนึ่งครั้ง แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีรอบเดือน รอบละ 28 วันเสมอไป บางคนก็มีรอบสั้น บางคนก็มีรอบยาว ถ้ามีรอบสั้นก็มาเร็ว เช่น รอบละ 24 วัน ก็แปลว่า ทุกๆ 24 วัน จะมาหนึ่งครั้ง ถ้าดูจากวันที่ในปฏิทิน วันที่รอบเดือนมาก็จะร่นเข้ามาเรื่อยๆ ถ้ามีรอบที่ยาว รอบเดือนก็จะมาช้าไป เช่น รอบละ 32 วัน ก็แปลว่า ทุกๆ 32 วันก็จะมีรอบเดือนหนึ่งครั้ง กรณีนี้ ถ้าดูวันที่ในปฏิทินก็จะเห็นว่า รอบเดือนจะเลื่อนออกไปทุกเดือน
แล้วอย่างนี้จะท้องหรือเปล่า

เวลาคุณถามมาว่า มีเพศสัมพันธ์วันที่....จะท้องหรือเปล่า
ผมก็จะถามว่า
รอบเดือนมาครั้งสุดท้าย วันที่เท่าไหร่ (วันแรกที่มา) ?
รอบเดือนมาสม่ำเสมอหรือไม่ ?
รอบเดือน กี่วันมาครั้ง (เช่น 30-31 วันมาครั้ง) ?
ผมก็นับจากวันแรกที่รอบเดือนมา ไปอีก 30 วัน ก็คือวันที่คาดว่ารอบเดือนควรจะมาครั้งต่อไป ผมก็เอา 14 ลบจากวันที่คาดว่ารอบเดือนจะมาครั้งต่อไป วันนั้นควรจะเป็นวันที่ไข่สุก ซึ่งเป็นวันที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุด

ตัวอย่าง
สมมุติว่า คุณถามมาว่ามีเพศสัมพันธ์วันที่ 25 เมษายน จะตั้งครรภ์ไหม
สมมุติว่ารอบเดือนมาครั้งสุดท้ายวันที่ 7 เมษายน (7-8-9-10 เมษายน)





รอบเดือนมาสม่ำเสมอทุกเดือน 31 วันมาหนึ่งครั้ง ก็นับจากวันที่ 7 เมษายน ไปอีก 31 วัน ก็ตรงวับวันที่ 8 พฤษภาคม รอบเดือนก็จะมาอีกครั้ง (เพราะมาตรงสม่ำเสมอ) นับถอยหลังจากวันที่ 8 พฤษภาคม (ที่กะว่ารอบเดือนจะมาครั้งต่อไป) มา 14 วัน ไข่จะสุก ก็ตรงกับวันที่ 24 เมษายน แต่เผื่อไว้ว่าไข่อาจสุก บวกลบ 2 วัน นั่นก็คือ ไข่อาจสุกได้ในวันที่ 22 - 23 - 24 - 25 - 26 เมษายน แล้วมีชีวิตถึง 27 เมษายน (มีชีวิตต่ออีก 24 ชั่วโมงที่จะผสมได้)

ถ้ามีเพศสัมพันธ์ วันที่ 20 -21 เมษายนก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะเชื้อสุจิมีชีวิต 48 ชั่วโมง ดังนั้นวันไม่ปลอดภัย คือ 20 - 21- 22 - 23 - 24 - 25 - 26 - 27 เมษายน

คุณคงได้คำตอบว่า ถ้ามีเพศสัมพันธ์วันที่ 25 เมษายน (ที่ถามมา) จะปลอดภัยหรือไม่


**ข้อยกเว้น***

ที่ว่ามาทั้งหมดข้างต้นนี้ พูดถึงกรณีที่หญิงมีรอบเดือนมาสม่ำเสมอ สามารถกะวันที่รอบเดือนจะมาครั้งต่อไปได้ แต่ก็มีหญิงอีกจำนวนมากที่รอบเดือนมาเอาแน่นอนไม่ได้ บางเดือนก็มาเร็ว บางเดือนก็มาช้า เรียกว่ามาแบบสะเปะสะปะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สามารถตอบได้แล้วครับ ว่าท้องหรือไม่ท้อง

เมื่อเดือนสองเดือนที่แล้ว มีวารสารการแพทย์ฉบับหนึ่งได้รายงานการวิจัยหญิงที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอ 28 วัน จำนวนประมาณ 200 คน พบว่า ความรู้เดิมๆที่เราเคยเชื่อกันว่า มีไข่ตกในช่วง 8 วันอันตรายนั้นไม่จริงเสียแล้ว ถ้าเปรียบการตกไข่เหมือนฝนตกแล้ว ฝนจะตกชุกในช่วง8วันอันตราย ส่วนวันอื่นๆก็อาจมีฝนตกได้บ้างเปาะแปะ รวมทั้ง 7วันแรกที่มีรอบเดือน และ 7 วันก่อนมีรอบเดือนก็อาจมีไข่ตกได้ อย่างไรก็ตามผู้รายงานสรุปว่า จำนวนตัวอย่างที่ทำยังน้อย คงต้องทำมากกว่านี้เพื่อหาคำอธิบายว่าทำไม่จึงเป็นอย่างนั้น

สำหรับผมจึงอยากเตือนว่า การใช้วิธีนับวันนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก ถ้ายังไม่แต่งงานแล้วมีเพศสัมพันธ์ละก้อ ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพสัมพันธ์ดีที่สุดครับ .....27 ธันวาคม 2000

ที่มา:http://www.clinicrak.com/birthcontrol/lady_preg16.shtml

21 กรกฎาคม 2553

อาการตั้งท้อง


อาการตั้งท้อง

การตั้งท้อง มีการเปลี่ยนแปลง 2 อย่าง ทั้งในระดับฮอร์โมน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ

การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
บางคนมีอาการอยากอาหารมากขึ้น แต่ก็ไม่แน่เสมอไป การอยากอาหารอาจจะเกิดจากการที่ร่างกายกำลังต้องการสารอาหารต่างๆมากขึ้นเพื่อลูกในท้อง
สังเกตุบริเวณรอบๆหัวนมมีสีเข้มขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มีอาการเต้านม คัดตึงคล้ายกับก่อนจะมีประจำเดือน แต่จะคัดตึงมากกว่านั้นมาก
บางคนอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อย ในช่วงที่คาดว่าจะมีประจำเดือน เกิดจากการที่ตัวอ่อนฝังตัวเข้าไปในเยื่อบุโพรงมดลูก
เมื่อตัวอ่อนฝังตัวและเกิดการสร้างฮอร์โมนจากรก Human chorionic gonadotropin ( HCG ) จะทำให้เกิดอาการปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น อาจต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ
มักจะรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย ซึ่งเป็นผลจากระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้น มีอาการคลื่นใส้ อาเจียน จะเกิดขึ้นหลังจากตั้งท้องไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์


หรือพอจะสรุปอาการของคนตั้งท้องออกมาเป็นข้อๆได้แบบนี้ครับ

1. เต้านมจะใหญ่ขึ้น ฐานของหัวนม อาจมีสีที่เข็มขึ้นจนถึงกับดำ และจะมีการเจ็บหน้าอก
2. ปัสสาวะจะสีเข้มขึ้น และปัสวะบ่อยขึ้น
3. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย อาจมีอาการอาเจียน คลื่นไส้
4. น้ำหนักอาจลดได้เนื้องจากปัจจัย เพราะเกิดจาดอาการแพ้ท้อง
5. มีอาการปวดหลัง ปวดบั้นเอว
6. บางรายมีฝ้าขึ้นที่บริเวณใบหน้า