
เวลาตั้งท้องคุณแม่ มือใหม่หรือมือเก่าทั้งหลายก็จะกังวล ว่าเวลาตัวเองไม่สบาย กินยาอะไรเข้าไปจะส่งผลถึงลูกน้อยในครรภ์หรือเปล่า วันนี้มีบทความดีๆเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเวลาคุณแม่ไม่สบายขณะตั้งครรภ์
อาการเจ็บไข้ไม่สบายบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอหรือกินยาเสมอไปหรอก คุณแม่สามารถดูแลรักษาตัวเองได้
* ไข้หวัด
พบได้บ่อยมาก เป็นกันเกือบทุกคนแหละครับ ส่วนใหญ่ก็มีอาการไข้ ปวดศีรษะมีน้ำมูก ไอ หรืออาจมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย ถ้าเป็นไม่รุนแรงมักหายได้เองถ้าดูแลรักษาตัวอย่างถูกวิธี ก็โดยการพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น แค่นี้ก็เพียงพอครับ นอกจากนั้นก็อาจใช้ยาช่วยรักษาตามอาการด้วยก็ได้
สำหรับอาการไข้หรือปวดศีรษะ สามารถใช้ยาพาราเซตามอลแก้ปวด ลดไข้ได้เพราะปลอดภัย โดยรับประทานครั้งละ 2 เม็ดทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ารู้สึกว่ามีไข้ ควรวัดอุณหภูมิสักหน่อยก็ดี ถ้าไข้ไม่สูงก็ลองรับประทานยาไปก่อนได้ แต่ถ้าไข้สูงเกิน 37.80 C ควรปรึกษาแพทย์ เรื่องของยาแก้หวัดลดน้ำมูกนั้น ที่ใช้กันทั่วไปก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย ส่วนยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบที่ เรียกๆ กันนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกราย จะใช้ก็ในกรณีที่คออักเสบหรือทอนซิลอักเสบร่วมด้วย ส่วนใหญ่ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาไข้หวัดนั้นก็ปลอดภัย แต่ไม่แนะนำให้ไปซื้อมารับประทานเอง ควรให้แพทย์สั่งให้จะดีกว่า
* ท้องผูก
นี่ก็ เป็นปัญหาที่พบในแม่ตั้งครรภ์เกือบทุกคน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติครับ การดูแลรักษาตัวเองทำได้โดยพยายามรับประทานผัก ผลไม้มากๆ เพื่อเพิ่มกากอาหาร นอกจากนั้นควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อไม่ให้อุจจาระแข็งเกินไป จะช่วยให้ถ่ายสะดวกขึ้น ในกรณีที่เป็นมากจริงๆ ก็คงต้องพึ่งยาระบายครับ แต่ควรเป็นยาระบายชนิดที่ช่วยเพิ่มกากอาหาร หรือชนิดที่ทำให้อุจจาระอ่อนจะดีกว่าชนิดที่กระตุ้นการทำงานของลำไส้ครับ
* ท้องอืด
อาการเจ็บไข้ไม่สบายบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอหรือกินยาเสมอไปหรอก คุณแม่สามารถดูแลรักษาตัวเองได้
* ไข้หวัด
พบได้บ่อยมาก เป็นกันเกือบทุกคนแหละครับ ส่วนใหญ่ก็มีอาการไข้ ปวดศีรษะมีน้ำมูก ไอ หรืออาจมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย ถ้าเป็นไม่รุนแรงมักหายได้เองถ้าดูแลรักษาตัวอย่างถูกวิธี ก็โดยการพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น แค่นี้ก็เพียงพอครับ นอกจากนั้นก็อาจใช้ยาช่วยรักษาตามอาการด้วยก็ได้
สำหรับอาการไข้หรือปวดศีรษะ สามารถใช้ยาพาราเซตามอลแก้ปวด ลดไข้ได้เพราะปลอดภัย โดยรับประทานครั้งละ 2 เม็ดทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ารู้สึกว่ามีไข้ ควรวัดอุณหภูมิสักหน่อยก็ดี ถ้าไข้ไม่สูงก็ลองรับประทานยาไปก่อนได้ แต่ถ้าไข้สูงเกิน 37.80 C ควรปรึกษาแพทย์ เรื่องของยาแก้หวัดลดน้ำมูกนั้น ที่ใช้กันทั่วไปก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย ส่วนยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบที่ เรียกๆ กันนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกราย จะใช้ก็ในกรณีที่คออักเสบหรือทอนซิลอักเสบร่วมด้วย ส่วนใหญ่ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาไข้หวัดนั้นก็ปลอดภัย แต่ไม่แนะนำให้ไปซื้อมารับประทานเอง ควรให้แพทย์สั่งให้จะดีกว่า
* ท้องผูก
นี่ก็ เป็นปัญหาที่พบในแม่ตั้งครรภ์เกือบทุกคน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติครับ การดูแลรักษาตัวเองทำได้โดยพยายามรับประทานผัก ผลไม้มากๆ เพื่อเพิ่มกากอาหาร นอกจากนั้นควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อไม่ให้อุจจาระแข็งเกินไป จะช่วยให้ถ่ายสะดวกขึ้น ในกรณีที่เป็นมากจริงๆ ก็คงต้องพึ่งยาระบายครับ แต่ควรเป็นยาระบายชนิดที่ช่วยเพิ่มกากอาหาร หรือชนิดที่ทำให้อุจจาระอ่อนจะดีกว่าชนิดที่กระตุ้นการทำงานของลำไส้ครับ
* ท้องอืด
อาหารไม่ย่อย หรือโรคกระเพาะอาหาร
พบได้ บ่อยพอสมควรในคนท้อง เนื่องจากระบบการย่อยอาหารทำงานเปลี่ยนไปคุณแม่ที่มีอาการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้วต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดี ครับ โดยพยายามรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย และควรเปลี่ยนวิธีรับประทานอาหาร โดยรับประทานทีละไม่มาก และบ่อยๆ แทนที่จะรับประทานเป็นมื้อใหญ่ๆ (ทีละน้อยแต่ทั้งวันว่างั้นเถอะ) แต่ถ้ามีอาการมากอาจใช้ยาเคลือบกระเพาะ ลดกรดช่วยได้ ซึ่งปลอดภัยครับ
* ท้องเสีย
พบได้ไม่ บ่อยนัก และส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงครับ ถ้าเพียงถ่ายเหลวไม่กี่ครั้งก็คงไม่มีอันตรายต่อทั้งคุณแม่และลูก เพียงแค่ดื่มน้ำมากๆ หรือดื่มน้ำผสมผงเกลือแร่ก็ได้ อาการก็มักจะหายไปเอง แต่ถ้าถ่ายเหลวและมีมูกหรือเลือดปนออกมาด้วย ควรไปพบแพทย์ครับ
อาการ เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับระบบใดระบบหนึ่งของร่างกาย จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อลูกในท้อง เช่น ท้องผูกก็ส่งผลแค่กับระบบขับถ่าย ไม่ส่งผลกับลูก แต่ที่ต้องระวังคือยาที่ใช้ ผิดกับโรคที่เกิดขึ้นกับร่างกายทั้งระบบ เช่น เบาหวาน ซึ่งส่งผลทั้งกับแม่และลูก และการรักษาก็ต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งยาที่ใช้ด้วย
ใช้ยาตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด
ในกรณี ที่แพทย์สั่งยาให้คุณแม่ไปรับประทาน โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ก็ควรรับประทานให้ตรงตามแพทย์สั่งจนหมด เพื่อให้อาการหายขาดและป้องกันการดื้อยาด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่เคยพบนั้น คุณแม่จะกลัวมาก จึงหยุดรับประทานยาเมื่ออาการดีขึ้น ผลก็คืออาการไม่หายขาดและกลับเป็นซ้ำขึ้นมาอีก ซึ่งบางรายอาจต้องใช้ยาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ อีกกรณีหนึ่งก็คือคุณแม่กลัวจะไม่หาย แม้กระทั่งยาหมดแล้วก็อุตส่าห์ไปหาซื้อยามารับประทานเพิ่มอีก อย่างนี้ก็ได้รับยาโดยไม่จำเป็นครับ
พบได้ บ่อยพอสมควรในคนท้อง เนื่องจากระบบการย่อยอาหารทำงานเปลี่ยนไปคุณแม่ที่มีอาการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้วต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดี ครับ โดยพยายามรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย และควรเปลี่ยนวิธีรับประทานอาหาร โดยรับประทานทีละไม่มาก และบ่อยๆ แทนที่จะรับประทานเป็นมื้อใหญ่ๆ (ทีละน้อยแต่ทั้งวันว่างั้นเถอะ) แต่ถ้ามีอาการมากอาจใช้ยาเคลือบกระเพาะ ลดกรดช่วยได้ ซึ่งปลอดภัยครับ
* ท้องเสีย
พบได้ไม่ บ่อยนัก และส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงครับ ถ้าเพียงถ่ายเหลวไม่กี่ครั้งก็คงไม่มีอันตรายต่อทั้งคุณแม่และลูก เพียงแค่ดื่มน้ำมากๆ หรือดื่มน้ำผสมผงเกลือแร่ก็ได้ อาการก็มักจะหายไปเอง แต่ถ้าถ่ายเหลวและมีมูกหรือเลือดปนออกมาด้วย ควรไปพบแพทย์ครับ
อาการ เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับระบบใดระบบหนึ่งของร่างกาย จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อลูกในท้อง เช่น ท้องผูกก็ส่งผลแค่กับระบบขับถ่าย ไม่ส่งผลกับลูก แต่ที่ต้องระวังคือยาที่ใช้ ผิดกับโรคที่เกิดขึ้นกับร่างกายทั้งระบบ เช่น เบาหวาน ซึ่งส่งผลทั้งกับแม่และลูก และการรักษาก็ต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งยาที่ใช้ด้วย
ใช้ยาตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด
ในกรณี ที่แพทย์สั่งยาให้คุณแม่ไปรับประทาน โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ก็ควรรับประทานให้ตรงตามแพทย์สั่งจนหมด เพื่อให้อาการหายขาดและป้องกันการดื้อยาด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่เคยพบนั้น คุณแม่จะกลัวมาก จึงหยุดรับประทานยาเมื่ออาการดีขึ้น ผลก็คืออาการไม่หายขาดและกลับเป็นซ้ำขึ้นมาอีก ซึ่งบางรายอาจต้องใช้ยาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ อีกกรณีหนึ่งก็คือคุณแม่กลัวจะไม่หาย แม้กระทั่งยาหมดแล้วก็อุตส่าห์ไปหาซื้อยามารับประทานเพิ่มอีก อย่างนี้ก็ได้รับยาโดยไม่จำเป็นครับ
***สรุปว่า ถ้าไม่สบายระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ต้องกังวลให้มาก ปฏิบัติตัวตามที่แนะนำ
ขอบคุณที่มา http://www.momypedia.com/knowledge/pregnancy/
ขอบคุณที่มา http://www.momypedia.com/knowledge/pregnancy/