14 ธันวาคม 2553

วัยรุ่นกับการยับยั้งชั่งใจ

ข่าววัยรุ่นทำแท้ง กำลังเป็นกระแสดัง ในสังคมบ้านเราตอนนี้ เหตุเพราะการรักสนุกแล้วไม่รู้จักป้องกัน ทำให้เกิดปัญหาการท้องไม่พึงประสงค์ตามมา


วัยรุ่นรู้จักรักแค่ไหน เมื่อเขาขอ...จะปฏิเสธอย่างไร..


หนุ่มสาววัยรุ่นมีเรื่องความรักเป็นเรื่องใหญ่ แต่จริงๆ แล้ววัยรุ่นรู้จักเรื่องรักแน่หรือ
บางคนอาจจะบอกว่าความรักคือความผูกพัน ความรักคือการเสียสละ คือการให้อภัย แต่ผมชอบความหมายคำว่ารักจากหนังสือ "จิตวิทยาแห่งรัก" มากที่สุด ที่บอกว่า ความรักคือความรู้สึกชื่มชมยินดีอย่างยิ่งจนบังเกิดความปรารถนาขึ้น มี key word อยู่ 2 คำ คือ 'ชื่นชมยินดี' กับ 'เกิดความปรารถนา' เพราะฉะนั้นความรักจึงหมายถึง ชื่นชมยินดีกับใครคนใดคนหนึ่งจนเกิดความปรารถนา

เราแยกความปรารถนาออกเป็น 2 อย่าง คือ ปรารถนาที่จะให้ กับปรารถนาที่จะรับ ถ้าปรารถนาที่จะให้ คือ รักและผูกพัน ปรองดอง ห่วงใย คิดถึง เห็นใจ เข้าใจ เอื้ออาทร เสียสละ และให้อภัย... นี่คือรักแท้ คือคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง รักแบบนี้ทางพุทธเรียกว่า เมตตา ทางคริสต์ อิสลาม เขาจะบอกว่า"พระเจ้าสอนให้มีความรัก"

ต้องใจ ติดใจ วัยรุ่นเรียกว่า 'ปิ๊ง' หลงเสน่ห์ คิดถึง คลั่งไคล้ โหยหา... เป็นรักเทียม ซึ่งแท้จริงคือราคะในรูปของความรัก ราคะก็คือฮอร์โมนเพศนั่นเอง อยากให้คนอื่นมาตอบสนองความต้องการของตัวเอง ถ้าไม่ได้ดังปรารถนาก็แปรรูปเป็นโกรธและหงุดหงิด

แล้วความรักมี 4 ระดับด้วยกัน คือ ราคะ(lust) รักใคร่ฉันหนุ่มสาว(eros) ปรารถนาดี(well wish) รักแบบอุทิศตัว (devoted love) อาจจะจำว่า

ระดับ 1 รักใคร่ใฝ่กามา

ระดับ 2 รักหวังวิวาห์มาคู่กัน

ระดับ 3 รักปันแบ่งความสุข

ระดับ 4 รักยอมทุกข์เพื่อสุขของเธอ

ความรักของพ่อแม่เปรียบได้กับความรักระดับ 4 ส่วนความรักของหนุ่มสาวอยู่ในระดับ 1 และอาจพัฒนาไประดับ 2 ซึ่งที่จริงแล้วหนุ่มสาวควรพัฒนาความรักเป็นระดับ 3 และ 4 ทำให้คนรักมีความสุข หลีกเลี่ยงไม่ทำให้เขาเป็นทุกข์

สำหรับวัยรุ่นผู้หญิงอาจเช็กดูได้ว่า ความรักของคนที่มาจีบเราเป็นแบบไหน ถ้ารักกันแล้วอยากจะมีเซ็กซ์ให้ได้ ก็คือความรักในระดับ 1 ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ท่ามกลางเด็กวัยรุ่นผู้ชายในวัยที่มีความต้องการทางเพศสูง วัยรุ่นผู้หญิงอาจจะเจอภัยทางเพศที่ไม่คาดคิด

มีการวิจัยพบว่า เซ็กซ์ครั้งแรกของหนุ่มสาวไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่ได้คาดคิด เกิดขึ้นเพราะว่าอยู่ในที่สองต่อสอง อยู่ในที่ลับตา แล้วบรรยากาศพาไป เพราะฉะนั้นกฎข้อที่ 1 ผู้หญิงอย่าเปิดโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับแฟนหรือผู้ชายคนไหนก็ตาม ให้พาเพื่อนไปเยอะๆ หรือไปในที่คนเยอะๆ

แล้วอย่าคิดเอาเองว่าผู้ชายดีๆ ไม่คิดไม่ดีนะครับ นอกเสียจากว่าผู้ชายคนนั้นจะเติบโตมีวุฒิภาวะ หรือความสามารถของสมองส่วนคิดทำงานควบคุมเหนือสมองส่วนหยาบ มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ความต้องการของตัวเอง มีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ แต่โดยทั่วไปวัยรุ่นเป็นวัยที่สมองส่วนหยาบทำงานมากกว่าสมองส่วนคิด เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเปิดโอกาสให้ผู้ชายทำตามความต้องการของตัวเอง

(การเปิดโอกาสยังรวมถึงการให้เบอร์โทรศัพท์ การรับนัดหมายด้วย)

กฎข้อ 2 อย่าแต่งตัวโป๊ ล่อแหลม เพราะผู้ชายตื่นตัวทางเพศง่าย ผู้หญิงอาจไม่คิดอะไร แต่ผู้ชายมีฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะในวัยรุ่นที่มีฮอร์โมนเพศสูง แล้วถ้าผู้ชายเกิดอารมณ์เซ็กซ์แล้วไม่มีทางระบายจะกลายเป็นความก้าวร้าว อาจจะบังคับขืนใจผู้หญิงโดยไม่ทันยั้งคิด

กฎข้อ 3 อย่าเปิดไฟเขียว ต้องรู้จักปฏิเสธ ต้องรู้จักพูดคำว่า ไม่! อย่า! หยุด!

พบบ่อยว่า หลายครั้งเด็กผู้หญิงไม่ได้อยากมีเซ็กซ์กับแฟน แต่เป็นเพราะปฏิเสธไม่เป็น เด็กผู้หญิงเล่าว่า "เขาไม่เชื่อใจค่ะ เขาขอมีเซ็กซ์ด้วย แต่เราไม่ให้เขา ก็เลยหาว่าเราเก็บไว้ให้คนอื่น"

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายทั่วโลกจะมีประโยคทำนองว่า "ถ้าเธอรักฉันจริง เธอต้องยอมเป็นของฉันนะ ถ้าเธอไม่ยอม แสดงว่าเธอรักฉันไม่จริง ถ้าอย่างนี้ ฉันจะไปมีแฟนใหม่" ซึ่งผู้หญิงก็ต้องตั้งสติคิดให้ได้ว่า ถ้าเขาไม่ยอมรับคำปฏิเสธของเราก็แสดงว่าเขาไม่รักเราจริงเหมือนกัน เพราะ เขากำลังจะใช้ร่างกายของเราเป็นที่ระบายความใคร่ของเขา

มีวิธีที่ผู้หญิงปฏิเสธผู้ชายหลายแบบด้วยกัน เช่นบางคนอาจจะปฏิเสธแบบ 'จะไม่ยอมเสียตัว และไม่กลัวเสียแฟน' โดยบอกอย่างเด็ดขาดว่า "อย่ามายุ่งกับฉัน ฝันไปเถอะ ถ้าทำ เลิกกัน ฉันจะแจ้งความด้วย" หรือ "คุณเป็นคนเห็นแก่ตัว คบไม่ได้ ฉันไม่อยากเสียตัวให้เธอ" ถ้าผู้ชายยังตื๊อต่อ ก็ลุกเดินหนี

แต่ที่เป็นปัญหาคือผู้หญิงบางคนตอบอย่างกลัวๆ กล้าๆ ลังเลใจ ไม่แน่ใจ เช่น

"เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นหรอก" ผู้ชายจะบอกว่า "ไม่มีใครเห็นหรอก มีแค่เราสองคน"

หรือผู้หญิงบอกว่า "เกิดคนอื่นรู้ ฉันก็เสียหายสิ" ผู้ชายก็จะตอบว่า "ถ้าเธอไม่บอกคนอื่น ฉันก็ไม่บอกใคร ก็ไม่มีใครรู้หรอก"

"เอาไว้วันหลังเถอะ" ูผุ้ชายจะบอกว่า"วันนี้แหละดีที่สุดแล้ว วันอื่นเราจะไม่ได้เจอกันแล้ว"

"ไม่ได้หรอกกำลังมีเมนส์" "ผู้ชายจะบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก ไม่รังเกียจ มีเมนส์ก็มีเซ็กซ์ได้ ดีซะอีก หน้า7 หลัง 7 ไม่ตั้งท้อง"

"เธอตรวจเอดส์หรือยัง" ผู้ชาย... "ตรวจแล้ว ผลเป็นลบ สบายใจได้"

"อุ๊ย เดี๋ยวท้อง" ผู้ชาย.. "ไม่ท้องหรอก เตรียมถุงยางมาแล้ว"

มีการปฏิเสธที่ดีที่สุด คือ ปฏิเสธชัดเจน ผู้ชายไม่มีข้ออ้าง และก็ไม่เสียความสัมพันธ์ด้วย เช่น

"ถ้ารักฉันจริง อย่าบังคับใจฉัน ฉันไม่อยากให้เธอทำอย่างนี้"

"ไม่ดีหรอก ยังไม่ถึงเวลา ถ้ารักฉันจริงเธอต้องรอได้"

"เธอเป็นผู้ชายที่ฉันรัก แต่ฉันพร้อมก็ต่อเมื่อเราแต่งงานแล้วเท่านั้น"

"ฉันทำไม่ได้หรอก ถ้าทำอย่างนั้นฉันรู้สึกหมดศรัทธาต่อตัวเอง"

"พ่อแม่ฉันยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้"

การปฏิเสธเช่นนี้ยังเป็นการพิสูจน์ด้วยว่าผู้ชายคนนั้นมีวุฒิภาวะหรือเปล่า ถ้าเขารอได้หรือโอนอ่อนตามใจเรา ก็แสดงว่าเขามีวุฒิภาวะ เป็นคนที่เราน่าจะแต่งงานด้วยได้ครับ



ขอบคุณที่มา:http://www.momypedia.com/

8 ธันวาคม 2553

โภชนาการคุณแม่ตั้งครรภ์

ตั้งท้อง


โภชนาการคุณแม่ตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรรภ์การได้รับอาหารเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีคุณค่า ที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ เพื่อให้ลูกน้อยในครรภ์ได้มีพัฒนาการที่ดี แข็งแรงสมบรูณ์ตามอายุครรภ์

คุณแม่มือใหม่คงมีความกังวลใจไม่น้อยกับการดูแลตัวเอง และห่วงใยสุขภาพของลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ นอกจากสุขภาพแล้วเรื่องอาหารการกินก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก กินอย่างไรที่คุณแม่และลูกน้อยจะได้รับประโยชน์

การดูแลตัวเองเรื่องอาหารนั้นคุณแม่ต้องเริ่มต้นเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่การเป็นเด็กหญิง วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการที่ดี ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นคุณแม่อย่างสมบูรณ์

เมื่อเข้าสู่ภาวะการตั้งครรภ์ การกินอาหารในช่วงนี้จะมีผลต่อลูกน้อยในครรภ์ คุณแม่จะต้องเพิ่มปริมาณพลังงานที่ได้รับจากอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 300 กิโลแคอรี กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และหลากหลาย

สารอาหารที่ควรได้รับ ได้แก่
1. โปรตีน ซึ่งมีมากในนม และเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อหมู ไข่ ถั่วเหลือง คุณแม่ควรบริโภคคนให้มาก เพราะนอกจากได้โปรตีนแล้วยังได้แคลเซียมเพื่อช่วยในการสร้างกระดูกให้แก่ลูก

2. คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ข้าว แป้ง ควรบริโภคแต่พอประมาณ “ลด” หรือ “งด” การบริโภคน้ำตาลและขนมหวาน

3. วิตามิน มีมากในผักและผลไม้

4. แร่ธาตุต่างๆ ธาตุเหล็กซึ่งพบมากในอาหารประเภทตับ ไข่แดง ผักขม ผักตำลึง จะช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงมีมากพอที่จะลำเลียงออกซิเจนจากเลือดของแม่ไปยังลูกได้ดี นอกจากนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ยังควรรับประทานอาหารทะเลเพื่อให้ได้ไอโอดีน สัปดาห์ละครั้ง แคลเซียม มีมากในนม ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว จำเป็นในการสร้างกระดูกและฟันของทารก โฟเลทจะป้องกันความผิดปกติของหลอดประสาท (Neural tube defect) เกี่ยวข้องกับการเจริญและพัฒนาระบบประสาทและสมอง มีมากในพืชผักใบเขียว ถั่ว ฟอสฟอรัสมีอยู่ในอาหารทั่วไป มีบทบาทในการสร้างกระดูกและฟัน สังกะสีมีความสำคัญในการเจริญและพัฒนาการของทารก พบมากในข้าวซ้อมมือ ถั่ว ผักใบเขียว เต้าหู้

5. สำหรับไขมันนั้น ไม่ควรรับประทานมากเพราะจะทำให้คุณแม่ท้องอืด แน่น อึดอัด และยังเป็นตัวการในการเพิ่มน้ำหนักตัวของคุณแม่ ควรเลือกบริโภคไขมันจากพืช และเลือกรับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยวิธีต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนการทอด


**กลุ่มอาหารที่คุณแม่ควรงด

ได้แก่ ผงชูรส ชา กาแฟ เครื่องดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะเมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางสายสะดือไปสู่ทารก แอลกอฮอล์จะไปกดการเจริญของทารก มีผลต่อสมอง และเกิดความผิดปกติหรือพิการในทารกได้

น้ำหนักของคุณแม่ตั้งครรภ์

ตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์น้ำหนักของคุณแม่ที่เพิ่มขึ้นควรเพิ่มประมาณ 11.5-16 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักตัวขึ้นมากกว่า 20 กิโลกรัม คุณแม่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ครรภ์เป็นพิษ เด็กจะตัวโตและจะคลอดยาก น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ที่แม่ และส่งผลให้ให้ช่วงหลังคลอดคุณแม่จะลดน้ำหนักลงได้ช้า

หลังคลอดแล้ว คุณแม่ควรทานอะไร

แนวทางการบริโภคอาหารก็ยังคงเหมือนกับในช่วงตั้งครรภ์ แต่คุณแม่จะมีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนตั้งครรภ์อีกวันละ 500 กิโลแคลอรี ทั้งนี้เพื่อนำไปสร้างน้ำนม ปริมาณอาหารที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นอาจจะจัดเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อ เช่น สลัดผัก และผลไม้ เป็นต้น สำหรับปริมาณนมที่บริโภคต่อวันนั้นคุณแม่สามารถดื่มได้ตั้งแต่ 2-4 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่คุณแม่ต้องเสียไปในรูปของน้ำนมที่ให้กับลูก

นอกจากอาหารแล้วนั้น คุณแม่ควรดูแลตัวเองในด้านสุขภาพกายและใจ โดยพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม พบคุณหมอตามนัดหมาย ก็น่าจะช่วยลดความกังวลใจให้กับคุณแม่ได้บ้าง


ที่มาhttp://www.elib-online.com/doctors52/lady_preg009.html